บทที่ 7 อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์จริยธรรมและความเป็นส่วนตัว


บทที่ 7
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์จริยธรรมและความเป็นส่วนตัว
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ได้มีผู้นิยามให้ความหมายดังนี้ การกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ อันทำให้เหยื่อได้รับความเสียหาย และผู้กระทำได้รับผลประโยชน์ตอบ
ประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
1. Novice อาชญากรมือใหม่หรือมือสมัครเล่น เป็นพวกที่อยากทดลองความรู้และส่วนใหญ่จะไม่ใช่ผู้ที่เป็นอาชญากรโดยนิสัย
2. Darnged person อาชญากรพวกจิตวิปริต เป็นพวกผิดปกติ มีลักษณะนิสัยที่ชอบความรุนแรง
3. Organized Crime อาชญากรที่ร่วมมือกันกระทำความผิดในลักษณะขององค์กรใหญ่ ๆ
4.  Career Criminal อาชญากรมืออาชีพ
5. Com Artist  อาชญากรหัวพัฒนา เป็นพวกที่ชอบความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์
6. Dreamer อาชญากรพวกบ้าลัทธิ จะกระทำผิดเนื่องจากมีความเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรง
7. แคร็กเกอร์ Cracker คือบุคคลที่บุกรุกหรือรบกวนระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลด้วยเจตนาร้าย cracker เมื่อบุกรุกเข้าสู่ระบบ จะทำลายข้อมูลที่สำคัญทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้งาน
8. แฮกเกอร์ Hacker หมายถึงผู้ที่มีความสนใจอย่างแรงกล้าในการทำงานอันลึกลับซับซ้อนของการทำงานของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ใดๆ ก็ตาม
9. อาชญากรในรูปแบบเดิม ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการกระทำ
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ แบ่งเป็น 4 ลักษณะ คือ
1.  การเจาะระบบรักษาความปลอดภัย ทางกายภาพ ได้แก่ ตัวอาคาร อุปกรณ์และ
สื่อต่าง ๆ
2.  การเจาะเข้าไปในระบบสื่อสาร และการรักษาความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ข้อมูล
3. เป็นการเจาะเข้าสู่ระบบรักษาความปลอดภัย ของระบบปฏิบัติการ (Operating
System)
4. เป็นการเจาะผ่านระบบรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล โดยใช้อินเตอร์เน็ตเป็น
ช่องทางในการกระทำความผิด
ป้องกันการขโมยข้อมูลประจำตัว
เช่นเดียวกับนักย่องเบาและขโมย อาชญากรไซเบอร์มีมากมายหลายวิธีในการขโมยเงินและข้อมูลส่วนบุคคล เช่นเดียวกับที่คุณจะไม่ให้กุญแจบ้านของคุณแก่ขโมยหรือนักย่องเบา คุณควรจะป้องกันตัวคุณเองจากการฉ้อโกงและการขโมยข้อมูลประจำตัวทางออนไลน์ ศึกษากลอุบายทั่วๆ ไปที่อาชญากรใช้เพื่อช่วยให้คุณป้องกันตัวคุณเองจากการฉ้อโกงและการขโมยข้อมูลประจำตัวทางออนไลน์ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับง่ายๆ บางส่วน อย่าตอบกลับ ถ้าคุณเห็นอีเมล ข้อความโต้ตอบแบบทันที หรือหน้าเว็บที่ขอข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลทางการเงินที่น่าสงสัย ระวังข้อความหรือไซต์ที่ขอข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ หรือข้อความที่เชื่อมโยงคุณไปยังหน้าเว็บไม่คุ้นเคยที่ขอรายละเอียดใดๆ ต่อไปนี้

- ชื่อผู้ใช้
- รหัสผ่าน
- หมายเลขประกันสังคม
- หมายเลขบัญชีธนาคาร
- PIN (หมายเลขประจำตัวส่วนบุคคล)
- หมายเลขบัตรเครดิตแบบเต็ม
- นามสกุลเดิมของมารดาของคุณ
- วันเกิดของคุณ
อย่ากรอกข้อมูลลงในฟอร์มใดๆ หรือหน้าจอลงชื่อเข้าใช้ที่อาจเชื่อมโยงมาจากข้อความเหล่านั้น ถ้ามีบุคคลที่น่าสงสัยขอให้คุณกรอกฟอร์มที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ อย่าหลงกลกรอกฟอร์มนั้น ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้กดปุ่ม "ส่ง" คุณอาจจะส่งข้อมูลของคุณไปยังหัวขโมยข้อมูลประจำตัว หากคุณเริ่มต้นใส่ข้อมูลของคุณลงไปในฟอร์มของเขา อย่าป้อนรหัสผ่านของคุณเป็นอันขาด หากคุณเข้าเว็บไซต์โดยคลิกลิงก์ในอีเมลหรือแชทที่คุณไม่เชื่อถือ แม้ว่าคุณจะคิดว่าเป็นไซต์ที่คุณเชื่อถือได้ อย่างเช่น ธนาคารของคุณ จะเป็นการดีกว่าที่จะเข้าไซต์โดยตรงโดยใช้บุ๊กมาร์กหรือพิมพ์ที่อยู่ของไซต์ลงไปในเบราว์เซอร์โดยตรง
เนื่องจากรหัสผ่านของคุณมีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณควรคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจที่จะแชร์รหัสผ่านกับผู้อื่น แม้แต่ครอบครัวและเพื่อนฝูง เมื่อคุณแชร์รหัสผ่าน มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่ใครคนหนึ่งอาจจะใช้บัญชีของคุณในทางที่ไม่ถูกต้องโดยการเข้าถึงข้อมูลที่คุณไม่ต้องการให้พวกเขาเข้าถึงหรือการใช้บัญชีในทางที่คุณไม่เห็นด้วย
ความแตกต่างระหว่างอาชญากรรม กับ การละเมิด
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ คือ ผู้กระทำผิดกฎหมายโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการก่ออาชญากรรมและกระทำความผิดนั้น
การละเมิดสิทธิโปรแกรมคอมพิวเตอร์
คือสิ่งที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ("พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์") โดยจัดเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทงานวรรณกรรม (Literary work) ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ กำหนดว่า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หมายถึง คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดที่นำไปใช้กับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานหรือให้ได้ผลอย่างหนึ่งอย่างใด ในกรณีที่บุคคลใด ทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน หรือให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนาของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บุคคลนั้นจะมีความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ มีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท และหากเป็นการกระทำเพื่อการค้าจะต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4ปี หรือ
ปรับตั้งแต่ 100
,000 ถึง 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แฮกเกอร์
แฮกเกอร์ คือ ผู้ที่พยายามหาวิธีการ หรือหาช่องโหว่ของระบบ เพื่อแอบลักลอบเข้าสู่ระบบ เพื่อล้วงความลับ หรือแอบดูข้อมูลข่าวสาร บางครั้งมีการทำลายข้อมูลข่าวสาร หรือทำความเสียหายให้กับองค์กร เช่น การลบรายชื่อลูกหนี้การค้า การลบรายชื่อผู้ใช้งานในระบบยิ่งในปัจจุบันระบบเครือข่ายเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ปัญหาในเรื่องอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะในเรื่องแฮกเกอร์ก็มีให้เห็นมากขึ้น ผู้ที่แอบลักลอบเข้าสู่ระบบจึงมาได้จากทั่วโลก และบางครั้งก็ยากที่จะดำเนินการใด ๆ ได้ลักษณะของการก่อกวนในระบบที่พบเห็นมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีวิธีการแตกต่างกัน เทคนิควิธีการที่ใช้ก็แตกต่างกันออกไป
การควบคุมรหัสผ่าน
- ช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับบัญชีผู้ใช้
- ต้องใช้รหัสผ่านที่รัดกุม
- ป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ใช้รหัสผ่านเดิมซ้ำ
- บังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะ
- คุณกำหนดเวลาการแจ้งเตือนให้ผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านได้ โดยจะมี-การเตือนให้ผู้ใช้เปลี่ยนรหัสผ่านเมื่อลงชื่อเข้าใช้จำนวน 4 ครั้งในช่วง 30 วันก่อนที่รหัสผ่านจะหมดอายุ -หากผู้ใช้ยังไม่ดำเนินการ ระบบจะบังคับให้เปลี่ยนรหัสผ่านเมื่อลงชื่อเข้าใช้ในครั้งต่อไป แต่หากคุณตั้งค่า-ระยะเวลาเซลชันของผู้ใช้เป็นแบบไม่หมดอายุ ผู้ใช้อาจไม่ได้รับการแจ้งให้เปลี่ยนรหัสผ่าน แม้ว่ารหัสผ่าน-จะหมดอายุแล้วก็ตาม โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่การ
ไวรัส
ไวรัส คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูลไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่าไวรัสได้เข้าไปผังตัวอยู่ในหน่วยความจำ คอมพิวเตอร์ เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสก็เป็นแค่โปรแกรม ๆ หนึ่งการที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกให้ทำงานได้นั้นยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัส แต่ละตัวปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์ไวรัสขึ้นมาทำงานแล้ว
จุดประสงค์ของการทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับตัวผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ แสดงข้อความวิ่งไปมาบน หน้าจอ เป็นต้น
ประเภทของไวรัส
บูตเซกเตอร์ไวรัส
Boot Sector Viruses หรือ Boot Infector Viruses คือไวรัสที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ ของดิสก์ การใช้งานของบูตเซกเตอร์คือ เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มทำงานขึ้นมาตอนแรก เครื่อง จะเข้าไปอ่านบูตเซกเตอร์ โดยใน
บูตเซกเตอร์จะมีโปรแกรมเล็ก ๆ ไว้ใช้ในการเรียกระบบ ปฎิบัติการขึ้นมาทำงานอีกทีหนึ่ง บูตเซกเตอร์ไวรัสจะเข้าไปแทนที่โปรแกรมดังกล่าว และไวรัส ประเภทนี้ถ้าไปติดอยู่ในฮาร์ดดิสก์ โดยทั่วไป จะเข้าไปอยู่บริเวณที่เรียกว่า
Master Boot Sector หรือ Parition Table ของฮาร์ดดิสก์นั้น ถ้าบูตเซกเตอร์ของดิสก์ใดมีไวรัสประเภทนี้ติดอยู่ ทุก ๆ ครั้งที่บูตเครื่องขึ้นมาโดย พยายามเรียก ดอสจากดิสก์นี้ ตัวโปรแกรมไวรัสจะทำงานก่อนและจะเข้าไปฝังตัวอยู่ใน หน่วยความจำเพื่อเตรียมพร้อมที่ จะทำงานตามที่ได้ถูกโปรแกรมมา แล้วตัวไวรัสจึงค่อยไป เรียกดอสให้ขึ้นมาทำงานต่อไป ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โปรแกรมไวรัส
Program Viruses หรือ File Intector Viruses เป็นไวรัสอีกประเภทหนึ่งที่จะติดอยู่กับโปรแกรม ซึ่งปกติก็คือ ไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น COM หรือ EXE และบางไวรัสสามารถเข้า ไปติดอยู่ในโปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น sys และโปรแกรมประเภท Overlay Programsได้ด้วย โปรแกรมโอเวอร์เลย์ปกติจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลที่ขึ้นต้นด้วย OV วิธีการที่ไวรัสใช้เพื่อที่จะ เข้าไปติดโปรแกรมมีอยู่สองวิธี คือ การแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในโปรแกรมผลก็คือหลังจากที่ โปรแกรมนั้นติดไวรัสไปแล้ว ขนาดของโปรแกรมจะใหญ่ขึ้น หรืออาจมีการสำเนาตัวเองเข้าไปทับส่วนของโปรแกรมที่มีอยู่เดิมดังนั้นขนาดของโปรแกรมจะไม่เปลี่ยนและยากที่ จะซ่อมให้กลับเป็นดังเดิม
การสแกน
โปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้วิธีการสแกน (Scanning) เรียกว่า สแกนเนอร์ (Scanner) โดยจะมีการดึงเอาโปรแกรมบางส่วนของตัวไวรัสมาเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล ส่วนที่ดึงมานั้นเราเรียกว่า ไวรัสซิกเนเจอร์(VirusSignature)และเมื่อสแกนเนอร์ถูกเรียกขึ้นมาทำงานก็จะเข้าตรวจหาไวรัสในหน่วยความจำ บูตเซกเตอร์
และไฟล์โดยใช้ ไวรัสซิกเนเจอร์ที่มีอยู่
ข้อดีของวิธีการนี้ก็คือ เราสามารถตรวจสอบซอฟแวร์ที่มาใหม่ได้ทันทีเลยว่าติดไวรัสหรือไม่เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานตั้งแต่เริ่มแรก
การตรวจการเปลี่ยนแปลง
การตรวจการเปลี่ยนแปลง คือ การหาค่าพิเศษอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เช็คซัม (Checksum) ซึ่งเกิดจากการนำเอาชุดคำสั่งและ ข้อมูลที่อยู่ในโปรแกรมมาคำนวณ หรืออาจใช้ข้อมูลอื่น ๆ ของไฟล์ ได้แก่ แอตริบิวต์ วัน
และเวลา เข้ามารวมในการคำนวณด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น